ไปวิ่งงาน เวียงเชียงรุ้งมินิมาราธอนครั้งที่ 1
ในฐานะศิษย์เก่าของโรงเรียน พอมีงานวิ่งก็ต้องไปซะหน่อย และถือโอกาสได้กลับไปเยี่ยมบ้านเกิดของตัวเองด้วย งานนี้เป็นการจัดงานครั้งแรก ใจหนึ่งก็หวั่นๆว่างานจะออกมาดีไหม เพราะเท่าที่รู้มาคือเชียงรายก็มีนักวิ่งมาราธอนมากเหมือนกัน แต่ดูแล้วงานนี้จะเป็นงานเล็กๆนักวิ่งสายแข็งคงไม่มาเท่าไหร่ น่าจะเป็นพวกศิษย์เก่าหรือไม่ก็บรรดาพนักงานรัฐแถว ๆ ตำบล อำเภอ ที่จะถูกเกณฑ์มาร่วมงาน สถานที่จัดงานคือโรงเรียนเวียงเชียงรุ้งวิทยาคม ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้าน
ค่าสมัครไม่แพงคนละ 450 บาท (รับสมัครเพียง 2,000 คนแต่เหมือนจะถึงวันงานแล้วได้ไม่ถึงจำนวนนี้ด้วยซ้ำ) สำหรับเราแพงสุดคือค่าตั๋วเครื่องบินจากกระบี่ ไป เชียงราย (เพราะ 2 คนก็แตะหลักหมื่นแล้ว นี่ขนาดพยายามหาชั้นประหยัดที่สุดเท่าที่จะหาได้นะ) เราใช้วิธีการต่อเครื่อง เพราะเครื่องบินตรงจากกระบี่ไปเชียงรายยังไม่มี ถ้าจะบินเที่ยวเดียวถึงเชียงรายคือต้องไปขึ้นเครื่องที่ภูเก็ต หรือขากลับต้องไปขึ้นเครื่องที่เชียงใหม่ ซึ่งคำนวณเงินค่าเดินทางอื่นๆกับระยะเวลาแล้วพอๆกัน เราเลยตัดสินใจต่อเครื่องดีกว่า ถือว่าได้กลับไปเยี่ยมบ้านด้วย 4-5 วันก็คุ้มแล้ว
อากาศที่เชียงรายช่วงเดือนมกราคม เป็นที่รู้กันว่ายังหนาวเย็นอยู่ จะหนาวมาก หนาวน้อย แล้วแต่ปี โชคดีที่ปีนี้ช่วงที่เรากลับไปคือ 15-19 ม.ค. อากาศเย็นสบาย ไม่ถึงกับหนาวมากอุณหภูมิอยู่ที่ 15-22 องศา ก่อนวันแข่งจริงก็ขับรถไปดูเส้นทางแล้วเส้นทางเรียบ ๆ มีช่วงโหด ๆ หน่อยกับเส้นทางบนเขา (ดอยพระบาท) ก่อนวันงาน 2 วันเราวิ่งซ้อมตามถนนแถวบ้านได้ 21.5 กิโลคือไม่ได้คิดว่าจะซ้อมเยอะขนาดนั้นเพราะวันงานมีวิ่งแค่ 13.5 กิโล แต่ด้วยอากาศที่ไม่ร้อน และวิ่งไปบนถนนคือวิ่งไปเรื่อยไม่วิ่งก็ไม่ถึงบ้านเลยต้องวิ่ง 555 คิดว่ายังไงซะวันจริงน่าจะทำเวลาได้ดี
ขั้นตอนการรับเสื้อและบิบมีเวลาให้รับ 2 วัน ก่อนวันงาน หรือใครไม่สะดวกจะรับหน้างานตอนเช้าก็ได้ เสื้อสวย บิบทำดี การแจกถือว่ายังช้า (ถ้าเทียบกับจำนวนผู้สมัคร) แต่งานเล็ก ๆ จัดกันเองก็ถือว่าไม่เป็นปัญหา เห็นสนามฟุตบอลของโรงเรียนมีการเตรียมเวทีและเต้นท์อาหาร คิดในใจถือว่าทำได้ดีนะกับการจัดงานครั้งแรก ค่อยโล่งใจหน่อยน่าจะทำออกมาได้ดี
วันงาน เราออกจากบ้าน 05.30 น. (เพราะบอกว่าปล่อยตัว 6.10 น.) จากเดิมที่ประกาศตอนรับสมัครคือ 6.00 น. อันนี้คิดว่าน่าจะเลื่อนเพราะตอนเช้าที่นี่ยังไม่สว่าง หมอกยังลงตอนเช้าค่อนข้างหนาทำให้ถนนยังมืดมาก แต่แล้วความไม่ประทับใจสำหรับเราก็เกิดขึ้น เริ่มตั้งแต่การเปิดงานที่ไม่เป็นไปตามเวลาที่แจ้ง เนื่องจากรอพิธีการเปิดงาน ซึ่งในการจัดงานวิ่งที่อยากให้นักวิ่งเข้าร่วมงานให้มาก ๆ สิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ผู้จัดควรให้ความสำคัญมากหน่อย การปล่อยตัวตรงต่อเวลาเป็นเรื่องสำคัญ เพราะงานนี้ถือว่าโชคดีที่อากาศไม่ร้อน ถ้าหากเป็นอากาศร้อน แล้วต้องมารอให้มีการกล่าวเปิดงานและจึงค่อยปล่อยตัวนักวิ่ง อันนี้มีผลกระทบแน่นอน เพราะการลงสนามสำหรับเราจะดูระยะทางวิ่ง และเวลาปล่อยตัวด้วย การปล่อยตัวสายมันจะทำให้นักวิ่งเหนื่อยมากหากมีแดดและอากาศร้อน เรามองว่าถ้าติดขัดเรื่องการเปิดงานเพราะรอประธานการเปิดงาน ก็ควรปล่อยนักวิ่งระยะไกลให้วิ่งไปก่อน แต่งานนี้เลือกที่จะรอประธานมาเปิดงานค่อยปล่อยตัวนักวิ่ง กว่าจะได้ปล่อยจริงก็เลยเวลา 6.30 น.ไปแล้ว เราไม่ได้ดูด้วยซ้ำว่าปล่อยตัวจริงกี่โมง เพราะเห็นเลยเวลา 6.30 น.แล้วก็เริ่มไม่ค่อยโอเค (จุดนี้ผู้จัดควรปรับปรุง)
พอเริ่มปล่อยตัวนักวิ่ง Mini 13.5 km. ด้วยสภาพอากาศตอนเช้าที่ค่อนข้างเย็นกว่าทุกวันและวอร์มไปพักใหญ่แล้วกว่าจะปล่อยตัวจริง ทำให้การวิ่งสำหรับเราลำบากนิดหน่อยในช่วงแรก เพราะเราไม่ได้ซ้อมกับสภาพอากาศที่เย็นแบบนี้ทำให้ร่างกายรู้สึกว่าไม่เต็มที่ วิ่งไม่ออกเลย ไม่เหนื่อยแต่รู้สึกว่าขาก้าวได้ช้ามาก กว่าจะเร่งตัวเองได้ก็เข้ากิโลที่ 5 แล้ว และพอเริ่มวิ่งได้เร็วก็มาเจอเนิน (จริงๆ ต้องเรียกว่า “ดอย” เพราะทั้งสูงทั้งยาวไกล กินระยะทางมากกว่า 1 กิโล มีความลำบากทั้งการวิ่งขึ้น (เราเดินมากกว่าวิ่ง) และการวิ่งลง หากไม่ระวังในการวิ่งลงอาจได้รับบาดเจ็บได้
หลังจากลงดอยมาได้แล้ว เราก็วิ่งต่อมาได้เรื่อยๆ เรียกได้ว่าไม่ได้หยุดพักเลย ด้วยระยะ 13km. ซึ่งเป็นระยะที่เราซ้อมอยู่บ่อยๆ ทำให้วิ่งได้เรื่อยๆ มีหยุดพักจิบน้ำแค่ 1 ครั้งในกิโลที่ 10 และวิ่งยาวจนเข้าเส้นชัย เขามาด้วยอันดับที่ 4 ของรุ่นอายุ (ถ้วยรางวัลมีแค่ 1-3) ผิดหวังเล็กน้อย การลงชื่ออันดับก็ดูแปลก ๆ มีอันดับ 1-3 และสำรองลำดับที่ 1-2 แถมเขียนชื่อคนละหน้ากระดาษไม่ต่อกัน ทำให้ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้มีคนเข้าเส้นชัยไปหรือยังในรุ่นของเรา
การมอบรางวัลก็ล่าช้ามาก พึ่งเคยเห็นว่าต้องรอจนนักวิ่งแต่ละระยะเข้าสนามมาหมดแล้วจึงมอบถ้วยรางวัล ต้องบอกว่างานนี้ขอผิดพลาดของพิธีการค่อนข้างมาก อยากให้ผู้หลักผู้ใหญ่ให้ความสำคัญกับนักวิ่งมากกว่านี้ ถ้ายังอยากให้นักวิ่งต่างถิ่นมาวิ่ง และพัฒนาการการท่องเที่ยวของท้องถิ่นตัวเอง แต่การดูแลเรื่องความปลอดภัยของเส้นทางวิ่ง การบริการน้ำดื่ม รถพยาบาล และการประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านทราบและออกมาเชียร์ทำได้ดีมาก เพราะตลอดเส้นทางวิ่ง 13km. มีชาวบ้านออกมาให้กำลังใจและวางน้ำดื่มไว้ให้ตลอดสองเส้นทางไม่มีขาดเลยก็ว่าได้ ซึ่งเรามองว่าตรงนี้เป็นเสน่ห์ของงานวิ่งทุกๆงานที่จัดในต่างจังหวัด แต่สิ่งที่ต้องปรับปรุงอย่างมากคือพิธีการต่างๆ ตั้งแต่การปล่อยตัว จนถึงการมอบถ้วยรางวัล ระยะ Fun Run ที่เข้าเส้นชัยมาก่อนก็สามารถเริ่มอบรางวัลได้เลย ไม่ต้องรอจนนักวิ่งคนสุดท้ายของ Fun Run เข้าสนาม เหมือนกันกับระยะ Mini ไม่เข้าใจว่าจะรอจนนักวิ่งคนสุดท้ายเข้าสนามถึงจะมอบรางวัลเพื่ออะไร อิอิ
สำหรับอาหารหลังวิ่ง ต้องบอกว่ามีกินให้อิ่ม เรากินข้าวต้มอร่อยดีเครื่องแน่นมากตามสไตส์ข้าวต้มภาพเครื่อง มีทั้งหมู หมึกแห้ง กุ้งแห้ง เครื่องอีกสารพัด แต่อาหารไม่หลากหลายเท่าที่ควร
แต่ที่สำคัญที่สุดน้ำดื่มหลังเข้าเส้นชัยตามซุ้มต่าง ๆ ไม่มีเลย มีจุดเดียวคือ ณ จุดเส้นชัยหลังจากรับเหรียญรางวัล อันนี้คืองงมาก หาน้ำกินไม่ได้ ถ้าเป็นงานอื่นที่อากาศร้อนกว่านี้หน่อยคงโดนตำหนิมากกว่านี้ แต่มีกาแฟ โอวัลตินให้กิน ซึ่งเราก็เชื่อว่านักวิ่งหลายๆคนคงอยากได้น้ำดื่มเย็น ๆ หรือน้ำดื่มเกลือแร่เย็น ๆ มากกว่า
จุดเด่นของงาน
– เส้นทางวิ่งที่เป็นธรรมชาติสวยงาม และมีเนินสูง (ดอย) ให้นักวิ่งได้ท้าทายความสามารถ
– อากาศที่เย็นสบาย ทำให้นักวิ่งไม่เหนื่อยและไม่ร้อน
– เสื้อวิ่งสวย เหรียญสวย ถ้วยรางวัลสวย (มีรูปลอยองค์ “หลวงปู่ขาน ฐานวโร” ขนาดหน้าตัก 5 นิ้ว สำหรับผู้ชนะเลิศอันดับที่ของ
ทุกรุ่นที่มีการแข่งขัน)
– ชาวบ้านให้ความสนใจและให้การต้อนรับนักวิ่งดีมาก
จุดด้อยของงาน
– พิธีการล่าช้ากว่ากำหนดที่ได้แจ้งไว้กับนักวิ่ง
– การปล่อยตัวล่าช้า
– การเช็คระยะ เช็คบิบยังไม่ดี บางคนปล่อยตัวทั้งๆที่ยังไม่ได้มีการเช็คจากจุดปล่อยตัว
– การมอบรางวัลล่าช้ามาก
– น้ำดื่มเย็นๆหลังเข้าเส้นชัย (ตามซุ้มอาหาร เครื่องดื่ม)ไม่มีเลย
ปิดจบจริง ๆ ล่ะ สรุปการจัดกิจกรรมครั้งแรกนี้ถือว่าอยู่ในระดับที่ผ่าน แต่ไม่ดี เพราะมีหลายอย่างต้องปรับปรุง และหวังว่าผู้จัดจะเอาความคิดเห็นที่สอบถามจากนักวิ่งไปปรับปรุงเช่นกัน แต่โอกาสหน้าคงต้องคิดหนัก เพราะการเดินทางค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงมากแต่เชียงรายจัดงานวิ่งบ่อยมาก งานดีดีเยอะมากเช่นกัน (#เชียงรายบ้านเกิด แต่ปัจจุบันเราย้ายไปอยู่ภาคใต้บ้านแฟน ซึ่งก็จะขึ้นมาเยี่ยมที่บ้านอยู่เรื่อย ๆ แต่ถ้าได้มาวิ่งงานดีดีด้วยมันเป็นอะไรที่คุ้มค่ามาก ๆ กับค่าเดินทางที่ต้องเสียไปเนอะ)